ยาแก้ปวด (Analgesics)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 20 มิถุนายน 2563
- Tweet
- บทนำ
- ยาแก้ปวดรักษาอาการปวดได้อย่างไร?
- ผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากยาแก้ปวดมีอะไรบ้าง?
- ยาแก้ปวดมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร?
- มีคำแนะนำเลือกใช้ยาแก้ปวดไหม?
- สรุป
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- พาราเซตามอล (Paracetamol)
- เอ็นเสด ยาเอ็นเสด (NSAID หรือ NSAIDs)
- โอปิออยด์ (Opioid)
- แผลเปบติค (Peptic ulcer) / แผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer)
- เลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding or GI bleeding)
- ยาเสพติด (Narcotic drug)
- ปวดท้อง (Abdominal pain)
- โรคตับ (Liver disease)
- โรคไต (Kidney disease)
- ยาลดไข้ ยาแก้ไข้ (Antipyretics) และยาแก้ปวด (Analgesic or Pain Killer)
บทนำ
กลุ่มยาแก้ปวด/ ยาบรรเทาปวด/เจ็บ (Analgesics, อะนัลเจสิค หรือ Painkiller) หมายถึง ยาประเภทต่างๆที่ใช้รักษาบรรเทาอาการปวด ซึ่งอาการปวดมีหลายรูปแบบ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดท้อง ปวดข้อ ปวดหลัง ทั้งนี้ยาแก้ปวดบางชนิดยังมีฤทธิ์เป็นยาลดไข้ได้อีกด้วย เช่นยา พาราเซตามอล เป็นต้น
อาการปวดบางชนิดสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจะกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ อาการปวดก็ทุเลาลง
แต่อาการปวดบางอย่างต้องรีบรักษา เช่น ปวดหัวจากความดันโลหิตสูง, แต่ปวดเจ็บ/แน่นหน้าอกอาจส่ออาการเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ แบบนี้รอไม่ได้ ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที
ในชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการปวด/เจ็บ คนเราจะใช้วิธีการที่ง่ายและสะดวกในการบรรเทาปวด โดยกินยาแก้ปวดหรือยาบรรเทาปวดเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ ยาแก้ปวดอาจจำแนกได้เป็นกลุ่มง่าย ๆดังนี้
1. ยาพาราเซตามอล (Paracetamol): มีใช้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย จัดเป็น ยาสามัญประจำบ้าน หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง ไม่เป็นยาเสพติด (Non-narcotic analgesic) นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์เป็นยาลดไข้ได้
2. ยาเอ็นเสด (NSAIDs) คือ ยาในกลุ่มต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ยา สเตียรอยด์ โดยคำว่า เอ็นเสด/เอนเสดส์ ย่อมาจาก ‘Non-steroidal anti-Inflammatory drugs’ (นอนสเตียรอยดอล แอนตี้อินเฟลมมาตอรีดรัก) ซึ่งยาเอ็นเสดไม่เป็นยาเสพติด และหลายตัวยายังมีฤทธ์ใช้เป็นยาลดไข้ได้เช่นกัน ตัวอย่างยาเอ็นเสด ได้แก่ยา
- ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
- ไดโคฟีแนค (Diclofenac)
- เมเฟนามิค (Mefenamic)
- อินโดเมธาซิน (Indomethacin)
- ไพโรซิแคม (Piroxicam)
- ยานิมีซูไลด์ (Nimesulide)
3. ยาคอกทูอินฮิบิเตอร์ (COX-2 Inhibitors): เช่น ยาเซเลโคซิป ซึ่งไม่เป็นยาเสพติดเช่นกัน
4. กลุ่มยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดชนิดเสพติด(Narcotic analgesic) : เช่นยา มอร์ฟีน (Morphine), โคเดอีน (Codeine)
ยาแก้ปวดรักษาอาการปวดได้อย่างไร?
กลไกการบรรเทาปวดของยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวด จะแตกต่างและเป็นคนละแบบกับยาชา เพราะยาชากำจัดทั้งความเจ็บปวดและทำให้ความรู้สึกถึงการสัมผัสของร่างกายสูญหายไปด้วยพร้อมๆกัน
กลไกการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวด สามารถออกฤทธิ์ระงับปวดจากความรู้สึกที่สมอง หรือไม่ก็ออกฤทธิ์ที่อวัยวะที่มีอาการปวดโดยตรง ทั้งนี้ อาจแบ่งแนวทางการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวดได้ดังนี้
1. ออกฤทธิ์ห้ามมิให้ร่างกายสร้างหรือหลั่งสารที่ก่อให้เกิดอาการปวด
2. ยังยั้งฤทธิ์ของสารบางชนิดในร่างกายที่หลั่งออกมาและทำให้รู้สึกปวด เช่น สาร โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) เป็นต้น
3. ห้ามไม่ให้เม็ดเลือดขาวออกมาสร้างปฏิกิริยากับบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจนก่อเกิดอาการปวด
ผลอันไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากยาแก้ปวดมีอะไรบ้าง?
ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ กลุ่มยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดหากใช้ผิดเวลา ผิดขนาด ผิดวิธี ผิดคน อาจส่งผล/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ได้มากมาย
อาการไม่พึงประสงค์ฯจากยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดที่พบบ่อย ได้แก่
- เป็นพิษกับ ตับ ไต
- ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
- กระตุ้นความดันโลหิตให้สูงขึ้นในผู้ที่ป่วยมีโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว
- อาจมีผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
- นอกจากนี้ อาจพบอาการ/ผลข้างเคียงอื่นๆตามมา เช่น
- ผื่นคัน
- ปวดหัว
- ง่วงนอน
- หอบหืด
ยาแก้ปวดมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดที่มีจำหน่ายใน ร้านยา โรงพยาบาล คลินิก มีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น
- ยากิน: เช่น ชนิดเม็ด ชนิดเม็ดที่เคลือบด้วยฟิล์มบางๆ ชนิดแคปซูล และชนิดยาน้ำเชื่อม
- ยาใช้ภายนอก: เช่น ยาครีม เจล และยาพ่นเสปรย์
- ยาฉีด: เช่น ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
- ยาหยดเข้าทางหลอดเลือด: โดยเจือจางกับสารละลายน้ำเกลือก่อน
อนึ่ง: นอกจากจัดจำหน่ายในรูปแบบยาเดี่ยวแล้ว ยังมีการนำยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดหลายตัวมาผสมรวมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา เช่น
- นำยาพาราเซตามอลผสมร่วมกับยาโคเดอีน (Codeine) เป็นต้น
มีคำแนะนำเลือกใช้ยาแก้ปวดไหม?
การใช้ยาทุกชนิดรวมทั้งยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดให้ได้ผลและปลอดภัยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปมีคำแนะนำการเลือกใช้ยาแก้ปวด ดังนี้
- อาการปวดจากปวดเมื่อยธรรมดา: ไม่ต้องใช้ยา เพียงแค่นอนพัก อาการก็จะดีขึ้นเอง
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด/ ยาบรรเทาปวดโดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับยานั้นๆ ง่ายที่สุดให้ปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยาใกล้บ้าน
- กรณีที่มีโรคประจำตัว ควรต้องระมัดระวังการใช้ยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดต่างๆโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ หรือเมื่อมีแผลในกระเพาะอาหาร, เพราะยาแก้ปวดหลายตัวจะส่งเสริมให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หรืออาจส่งผลถึงการทำงานของหัวใจ หรือก่อให้เกิดเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร(เลือดออกในทางเดินอาหาร)ได้
- ยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือทำลายโดยตับ และขับออกจากร่างกายทางไต ดังนั้น หากต้องใช้ยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดในผู้ที่มีภาวะ ตับ และ/หรือ ไต ผิดปกติ (โรคตับ และ/หรือ โรคไต) ควรให้แพทย์เป็นผู้แนะนำการใช้ยาฯเท่านั้น
- *การใช้ยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวดในเด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)โดยเฉพาะเด็กเล็กและในผู้สูงอายุ ควรต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือ เภสัชกร ด้วยบุคคลทั้ง 2กลุ่มมีสภาพร่างกายที่ทนต่อผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้ต่ำกว่าผู้ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือในผู้ใหญ่ปกติ
สรุป
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยาแก้ปวด/ยาบรรเทาปวด) ยาแผนโบราญ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน